Category Archives: สินค้า

หลังคาลอนคู่ VS หลังคาเมทัลชีท แบบไหนถูกใจบ้านที่สุด

หากพูดถึงกระเบื้องลอนคู่ หลายคนก็คงรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะว่ากระเบื้องลอนคู่จัดว่าเป็นกระเบื้องที่นิยมใช้มุงหลังคาบ้านสูงสุดอีกตัวหนึ่งก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นกระเบื้องที่มีราคาถูก และมีสีสันให้เลือกมากมาย เลยไม่น่าแปลกใจที่มีคนใช้เยอะขนาดนี้

lonkon154trachang

 

แต่ปัจจุบันก็มีวัสดุที่ใช้สำหรับการมุงหลังคาหลากหลายยิ่งขึ้น โดยวัสดุแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันออกไป “เมทัลชีท(Metal sheet)” ก็เป็นอีกหนึ่งในวัสดุที่นิยมนำมามุงหลังคาบ้านอีกตัวหนึ่งที่ปัจจุบันมีบ้านเป็นจำนวนมากได้หันมามุงหลังคากันด้วยวัสดุชนิดนี้ ทีนี้ก็เลยเกิดคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาว่า หากเราต้องการมุงหลังคา หรือเปลี่ยนหลังคาบ้านของเรามาเป็นหลังคาเมทัลชีทบ้างมันจะดีหรือเปล่า? มันจะทนมั๊ย? ราคาแพงหรือเปล่า? แล้วเรื่องการรั่วซึมล่ะจะเป็นยังไง? หากต้องนำมาเปรียบเทียบกับหลังคาลอนคู่

หลังคาเมทัลชีท

วันนี้เราก็เลยนำเอาข้อสงสัย และคำถามในแต่ละข้อโดยเปรียบเทียบระหว่างหลังคาลอนคู่ และหลังคาเมทัลชีท มุงหลังคาบ้านแบบไหนดีกว่ากัน มาให้ผู้อ่านลองอ่านกันดู แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า ที่เขียนมานี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับ

น้ำหนักและโครงหลังคา

หากพูดถึงเรื่องน้ำหนักกันแล้ว กระเบื้องลอนคู่นั้นจะมีน้ำหนักมากกว่าเมทัลชีทหลายเท่า กระเบื้องลอนคู่แผ่นหนึ่งน้ำหนักประมาณ 6-7 กิโลกรัม/แผ่น ในขณะที่เมทัลชีทนั้นเป็นแผ่นเหล็กที่ถูกรีดออกมาให้มีความบางมากๆ ทำให้มีน้ำหนักเบา หากเทียบกับการปูหลังคาบ้านในพื้นที่ที่เท่ากันแล้ว กระเบื้องลอนคู่จะมีน้ำหนักมากกว่าอยู่แล้ว เมื่อมีน้ำหนักที่มากกว่า ทำให้โครงหลังคาที่ใช้ ก็ต้องมีความแข็งแรงมากว่าด้วยเช่นกัน เพื่อใช้แบบรับน้ำหนักของกระเบื้องเป็น 100 แผ่น ทำให้ต้องเสียค่าวัสดุสำหรับโครงสร้างหลังคามากกว่าเมทัลชีทอย่างไม่ต้องสงสัย

ความรวดเร็วในการปูหลังคา

ความรวดเร็วในการปูหลังคานั้น การปูหลังคาด้วยเมทัลชีทจะรวดเร็วกว่ามาก เพราะเราแค่เอาแผ่นเมทัลชีทที่เป็นแผ่นยาวและใหญ่มาปู และยิงติดกับโครงหลังคา ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว เทียบกับการปูหลังคาบ้านด้วยกระเบื้องลอนคู่ที่ต้องวางซ้อนกันทีละแผ่น แถมบางทียังต้องมาเสียเวลาตัดมุมกระเบื้องเพื่อกันน้ำไหลย้อนขึ้นมาอีก ก็ทำให้ใช้เวลาการปูที่มากกว่าเมทัลชีทอย่างแน่นอน

 

คุณภาพของเนื้อผ้าที่นำมาผลิตเสื้อโปโล

เสื้อผ้าผู้ชายหรือเสื้อผ้าผู้หญิงในปัจจุบันจะใช้เนื้อผ้าที่มีความแตกต่างกันเพื่อให้ได้คุณภาพของผ้าที่ต่างกันออกไป เช่นเดียวกันเสื้อโปโลผู้ชายและผู้หญิงจึงมักจะมีเนื้อผ้าที่ค่อนข้างมากและเนื้อผ้าที่มักจะนำมาผลิตเสื้อผ้าทั้งแบบทั่วไปและโปโลนั้นจะประกอบไปด้วย

CAAUAEAyEA_

เนื้อผ้าฝ้ายหรือคอตตอน เนื่องจากจะทำให้การสวมใส่แล้วสบายยิ่งขึ้น และดูดซับเหงื่อได้ดี นอกจากนั้นยังจะไม่เป็นขนให้กวนใจอีกด้วย แต่มักจะมีปัญหาในด้านของการหดตัวของเส้นด้ายจึงทำให้เสื้อจึงหดตัวได้

ชนิดของผ้าที่นิยมใช้ทำ เสื้อโปโล นั้น ที่นิยมมีอยู่ 3 แบบ คือ ผ้าฝ้าย , ผ้าCotton ผสม Polyester ,  ผ้าPolyester100% หรือ ใยสังเคราะห์ ผ้าทั้ง3 ชนิดนั้นมีความแตกต่างกันอยู่มากขึ้นอยู่กับการใช้งานของลูกค้า เราจะไปดูกันคะว่าเนื้อผ้าแต่ละชนิดแตกนั้นต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง

เสื้อโปโล ผ้า Cotton 100%

ทำมาจากฝ้ายมีความยืดหยุ่นมาก ระบายอากาศดี เนื้อผ้านุ่ม เส้นใยฝ้ายฟูบาง ใส่สบาย ดูดซับเหงื่อ แต่มีปัญหาเรื่องผ้าจะหดตัวเมื่อผ่านการซักในครั้งแรก และจะย้วยเมื่อใช้ไปเป็นเวลานาน  ผ้าชนิดนี้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้ในที่กลางแจ้งและโดนแดดบ่อยๆเพราะผ้าจะระบายอากาศได้ดีไม่ค่อยอมเหงื่อ หรือต้องการความหรูหราใส่สบายแต่ราคาอาจจะสูงซักนิดนึง

เสื้อโปโล ผ้า Cotton ผสม Polyester เช่นผ้า CVC และ TC

ผ้า CVC จะมีส่วนผสมของ Cotton70% และ Poly 30%  จะมีความยืดหยุ่นมาก ระบายอากาศดี เนื้อผ้านุ่ม ใส่สบาย ดูดซับเหงื่อ ไม่มีปัญหาเรื่องผ้าหดตัว

ผ้า TC จะมีส่วนผสมของ Cotton 35% แล ะPoly 65% จะมีความยืดหยุ่นปานกลาง เนื้อผ้าค่อนข้างนุ่มใส่สบาย ไม่มีปัญหาเรื่องผ้าหดตัว  ผ้าชนิดนี้เหมาะกับคนที่เหงื่อออกง่ายแม้ทำงานอยู่ในห้องแอร์เพราะระบายอากาศได้ดีพอสมควร

ข้อดีที่โดดเด่นสำหรับ เสื้อโปโล Cotton ผสม Polyester เมื่อเทียบกับ เสื้อโปโล Cotton 100% คือ อยู่ทรง ไม่หดไม่ย้วย ส่วน Cottonจะคุม % ความหดและย้วยลำบาก

เนื้อผ้าใยสังเคราะห์ เป็นเนื้อผ้าที่เมื่อสวมใส่แล้วไม่ทำให้ยับยาก แต่ก็มักจะมาพร้อมกับไม่มีการซับเหงื่อ และยังเมื่อสวมใส่ได้ไม่นานก็จะมาพร้อมกับขนที่ขึ้นเป็นก้อน ๆ

เนื้อผ้าผสม เป็นเนื้อผ้าที่สวมใส่ได้ค่อนข้างสบาย และเป็นเนื้อผ้าที่ไม่หดตัวเหมือนกับคอตตอน นอกจากนั้นยังไม่ขึ้นเป็นก้อน แต่ก็ยังเป็นขนแต่ไม่มากนัก

 

เสาเข็มเจาะมีบทบาทสำคัญกับงานก่อสร่างอย่างไร

เสาเข็มเจาะ คือ อะไร การก่อสร้างอาคารและสถานที่ในปัจจุบันนี้ เสาเข็มถือว่าเข้ามามีบทบาทสำคัญกับงานก่อสร้างทุกรูปแบบ ด้วยความแข็งแรงและได้มาตรฐานของอาคารสถานที่ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้รับเหมาบางรายและเจ้าของบ้านเลือกที่จะลงเสาเข็มเพื่อเสริมความแข็งแรงของอาคารและบ้านเรือนตน ซึ่งเสาเข็มมีหลายประเภท แต่ประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมคงต้องยกให้ เสาเข็มแบบ

bordpile

เจาะเสาเข็มเจาะ คืออะไร     เสาเข็มเจาะ เป็นเสาเข็มที่นิยมใช้งานในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัดหรืออยู่ในบริเวณที่มีบ้านเรือนติดกันเป็นจำนวนมาก โดยรูปแบบของการขุดเจาะนั้นจะเจาะลงไปในดินและเอาดินออกจนถึงระดับที่ต้องการ  ตามด้วยการใส่โครงเหล็ก จากนั้นเทคอนกรีตลงไปในหลุมที่ขุดเจาะเพื่อขึ้นรูปเป็นเสาเข็ม ซึ่งวิธีการนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่ออาคารบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่มีการก่อสร้าง แตกต่างจากเสาเข็มแบบตอก

เสาเข็มเจาะมีกี่ขนาด มาตรฐานของเสาเข็มเจาะมี 4 ขนาด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่, เสาเข็มเจาะขนาด 35 ซม., เสาเข็มเจาะขนาด 40 ซม., เสาเข็มเจาะขนาด 50 ซม., และเสาเข็มเจาะขนาด 60 ซม. เสาเข็มเจาะ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 cm. พื้นที่หน้าตัดเสาเข็มเจาะ 962 ตร.ซม., เส้นรอบวงเสาเข็มเจาะ 110 ซม., น้ำหนักบรรทุก 20-35 ตัน ความนิยมของเสาเข็มเจาะ ขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลาง 35 เซนติเมตร เป็นวิธีการเจาะดินลงไปแบบแห้ง ๆ หลังจากนั้นทำการหย่อนเหล็กเสริม เทคอนกรีต เทลงไปในหลุม หรือรูที่เจาะได้ ซึ่งทำให้เกิดมลภาวะและการสั่นสะเทือนน้อยกว่าเเบบตอก โดยเฉพาะโครงการก่อสร้าง ต่อเติมอาคาร บ้านเรือน ในเขตพื้นที่ที่คนอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งเราจะมั่นใจได้ว่าเพื่อนบ้านไม่รำคาญหรือเสี่ยงทำให้บ้านเพื่อนบ้านร้าวเพราะเเรงตอก

ท่อพีอีกับท่อพีบี ต่างกันยังงัยน๊า

ท่อพีอี คือ ท่อที่นำมาใช้กับอะไร หากคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการรับเหมา หรือวงการน้ำประปา อาจจะงง ทั้งที่อาจจะเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง อย่างเช่น เวลาสร้างบ้าน หรือซ่อมแซมท่อประปาภายในบ้าน ช่างก็มักจะพูดถึงท่อ HDPE ให้ได้ฟังกันอยู่บ้าง แต่จริงๆ แล้ว ท่อ HDPEไม่ค่อยได้ใช้กับงานเดินท่อประปาภายในบ้าน ส่วนใหญ่จะใช้ในอุตสาหกรรมมากกว่า

ท่อ HDPE หรือที่เราอาจจะรู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ ท่อ PE เป็นท่อที่มีลักษณะดัดโค้ง งอ ได้ เรียกได้ว่า ทำให้คดเคี้ยวไปมาตามลักษณะของตัวอาคาร นั่นเอง  นอกจากนี้ ท่อ HDPE หรือ ท่อพีอี ยังมีคุณสมบัติที่เด่นชัดอีกหลายประการด้วยกันคือ มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 50ปี ผลิตจากวัสดุชั้นดี ทำให้ไม่เปราะ หรือแตกหักง่าย อีกทั้งยังผสมสารป้องกัน UV ทำให้ทนต่อการแผดเผาของแดด สมกับเป็นอุปกรณ์ที่คู่ควรกับเมืองไทยจริงๆ นอกจากนี้ ท่อ พีอี ยังมีน้ำหนักเบา สามารถดัดให้โค้งงอได้ตามรูปทรง โดยไม่ต้องใช้กาวต่อท่อ ซึ่งมักจะเสื่อมสภาพ และทำให้น้ำรั่วซึมได้  นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ท่อ HDPE ยังมีคุณสมบัติที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ ใช้เป็นท่อน้ำดื่มได้อย่างปลอดภัย เพราะปราศจากสารก่อมะเร็ง สนิม หรือโลหะหนักต่างๆ ซึ่งเป็นตัวสะสมทำให้เกิดโรคร้ายได้ แต่ท่อ HDPE ก็มีข้อจำกัด ตรงที่มีราคาสูงกว่าท่อพีวีซี อีกทั้งยังเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าอายุการใช้งาน ถ้าหากว่าได้รับแสงอุลตร้าไวโอเล็ตที่มากับแดดเป็นเวลานาน เรียกว่า ถ้าตากแดดตากลมอยู่ตลอดก็ทำให้อายุการใช้งานสั้นลงได้

ท่อพีอี และ ท่อพีบี ต่างกันอย่างไร

“ท่อพีอี คือ ท่อน้ำสีดำๆที่โค้งไปงอมาได้ ใช้แทนท่อน้ำเหล็กหรือท่อ PVC มีความยืดหยุ่นสูง ราคาก็ไม่แพงมาก (ประมาณเท่ากับท่อ PVC) แต่ค่อนข้างยุ่ง”

ท่อพีบี คือ ท่อน้ำสีดำๆที่โค้งไปงอมาได้ ใช้แทนท่อน้ำเหล็กหรือท่อ PVC มีความยืดหยุ่นสูง ราคาก็ไม่แพงมาก (ประมาณเท่ากับท่อ PVC) แต่ค่อนข้างยุ่ง ยากตอนที่จะต่อกัน เพราะต้องใช้ความร้อนในการเชื่อม และเมื่อเชื่อมแล้วจะมี ตะเข็บบ่าในท่อ หากของเหลวที่ไหลอยู่ในท่อมีตะกรัน ก็จะทำให้ตะกรันเหล่านั้น เกาะติดและวันหนึ่งก็อาจจะอุดตันได้ แต่ข้อดีก็คือ มีความทนทานและโค้งงอได้ ง่าย โดยไม่ต้องมีข้อต่อข้องออย่างท่อเหล็กหรือท่อ PVC

ท่อพีอี คือ ท่อที่มีคุณสมบัติเหมือนกับท่อ P.E. แต่สามารถทนความร้อน ได้ดีกว่า ใช้เป็นท่อน้ำร้อนของเราได้ แต่ราคาจะแพงกว่าท่อ P.E. เหมือนกัน (ประมาณ ๑.๕ – ๒ เท่า) ซึ่งท่อทั้งสองอย่างนี้ (P.E. และ P.B.) ไม่น่าใช้ฝังในผนัง เพราะท่อแบบนี้มีโอกาส “ดิ้น” ได้ ยากต่อการติดตั้ง และอาจจะทำให้ปูนฉาบร้าว หรือกระเบื้องหลุดกระเดิดได้
ท่อพีอี = Poly Ethelene (อาจสะกดผิดนิดหน่อย) เป็นสารพวกเปร์โตรเคมี สีดำๆ ราคาประมาณเท่ากับท่อ พีวีซี ถูกกว่าท่อเหล็กชุบสังกะสีนิดหน่อย เวลาจะต่อกัน ต้องใช้การ “เชื่อม” เท่านั้น (และตรงนี้คือจุดอ่อนของท่อชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความชำนาญ เรื่องการซ่อมแซม และเรื่องตะเข็บที่อยู่ภายในท่อ ที่อาจทำให้เป็นบ่า-สำหรับเกาะของตะกรันได้) แต่หากเป็นการต่อกับท่อชนิดอื่น จะมีข้อต่อพิเศษขาย จุดดีก็คือ ทนทานกว่าพีวีซี และโค้งงอได้สบายอารมณ์
ท่อพีบี = Poly Butylene ฐานทางเคมีฟิสิกส์คล้ายกับท่อพีอี แต่จะมีความสามารถทนความร้อนได้มากกว่า (จึงใช้สำหรับเป็นท่อน้ำร้อน) ราคาจะแพงกว่าท่อพีอี ประมาณ ๑.๕ – ๒ เท่า